วัดพระธรรมกายเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ!!!

คำถาม : คำกล่าวหาที่ว่า… วัดพระธรรมกายเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ!!! สรุปแล้วเป็นภัยจริงหรือไม่???
คำตอบ : ข้อกล่าวหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถือว่าเป็นข้อกล่าวหาที่รุนแรงมาก!!! แต่เลื่อนลอย และไม่มีเค้าแห่งความเป็นจริงเลยสักนิด เพราะกิจกรรมทุกกิจกรรม รวมถึงนโยบายทุกนโยบายของวัดพระธรรมกายตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่มีกิจกรรมไหนหรือนโยบายใดที่จะเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติได้เลยสักเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นความมั่นคงด้านการเมือง เศรษฐกิจ หรือสังคม-จิตวิทยา ส่วนว่าความเป็นจริงเป็นเช่นไรเราลองมาดูกันทีละประเด็น
ประเด็นแรก : ความมั่นคงทางด้านการเมือง
สำหรับประเด็นนี้ “ถ้าคนที่มองโลกในแง่ร้าย” ก็อาจจะมองว่า…การที่วัดพระธรรมกายสามารถรวมคนได้เป็นหลักหมื่น หลักแสนอย่างเป็นระบบระเบียบ ในอนาคตอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางด้านการเมืองได้ (ถ้าหากวัดพระธรรมกายเลือกอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล) แต่ในความเป็นจริง!!! เนื่องจากวัดพระธรรมกายเป็นองค์กรพุทธศาสนาซึ่งบุคลากรโดยส่วนใหญ่เป็นพระภิกษุสงฆ์ เพราะฉะนั้น…ด้วยตัวบทกฏหมายของประเทศไทยและกฏมหาเถรสมาคมจึงไม่ได้ให้สิทธิหรือเปิดช่องให้พระภิกษุมีบทบาททางด้านการเมือง
อีกทั้งตามหลักพระธรรมวินัย…การเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองไม่ใช่กิจของสงฆ์ วัดพระธรรมกายจึงได้ยึดถือและออกกฏข้อห้ามที่เกี่ยวเนื่องกับการเมืองจำนวน 2 ข้อ (จากทั้งหมด 10 ข้อ) มาตั้งแต่ปีพ.ศ.2518 เพื่อให้สอดคล้องกับหลักกฏหมาย , กฏมหาเถรสมาคม และพระธรรมวินัยว่า… “ห้ามโฆษณาชวนเชื่อหรือหาเสียงใดๆ ทั้งสิ้น” (ในกฏข้อที่ 6) และ “ห้ามทำนายทายทักโชคชะตาหรือคุยกันเรื่องการเมืองที่ทำให้ร้อนใจ” (ในกฏข้อที่ 8)
และด้วยความที่บุคลากรภายในวัด (ทั้งพระภิกษุ – สามเณร รวมถึงอุบาสกและอุบาสิกา) ต่างมีมโนปณิธานในการสั่งสมบุญสร้างบารมีตามหลักธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกๆ รูปและทุกๆ คนจึงยึดถือกฏระเบียบทั้ง 2 ข้อนี้ (รวมถึงข้ออื่นๆ ที่เหลือ) กันอย่างเคร่งครัด ถึงแม้ทางวัดจะออกกฏห้ามไม่ให้บุคลากรภายในวัดไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองก็ตาม แต่เมื่อถึงคราวที่ภาครัฐต้องการให้ประชาชนออกไปใช้สิทธิ์ในการเลือกตั้ง ทางวัดก็ไม่ได้ปิดกั้นพร้อมกับเปิดโอกาสให้อุบาสกอุบาสิกาที่เป็นบุคคลากรภายในวัด ได้ออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งตามหน้าที่พลเมืองที่ดีของชาติ
ในส่วนของสาธุชนที่มาแสวงบุญที่วัด แม้แต่ละคนจะมีแนวคิดทางการเมืองที่หลากหลาย (เรียกได้ว่า…มีครบทุกสี ทุกพรรค ทุกประเภททั้งที่สนใจการเมืองและไม่สนใจการเมือง) แต่ด้วยกฏระเบียบที่ทางวัดวางนโยบายเอาไว้ สาธุชนทุกคนจึงเข้าใจและมุ่งมาวัดเพื่อปฏิบัติธรรม สั่งสมบุญสร้างบารมี โดยละทิ้งความเห็นต่างทางการเมืองของตัวเองเอาไว้ชั่วคราว
ส่วนว่าเมื่อแต่ละคนกลับออกไปดำเนินชีวิตทางโลกตามปกติ ใครจะคิด!!! ใครจะพูด!!! หรือใครจะทำอะไรที่เกี่ยวเนื่องกับการเมือง ในส่วนนี้วัดพระธรรมกายไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะทางวัดไม่สามารถเข้าไปก้าวล่วงหรือละเมิดสิทธิและเสรีภาพส่วนบุคคลของใครได้ เนื่องจากแนวคิดทางการเมืองเป็นเรื่อง “ปัจเจกบุคคล” ที่ทุกคนมีสิทธิและเสรีภาพตามกฏหมาย
และจากที่กล่าวมาทั้งหมด…จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่นโยบายหรือกิจกรรมของวัดพระธรรมกาย จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติทางด้านการเมือง
ประเด็นที่สอง : ความมั่นคงทางด้านเศรษฐกิจ
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน!!! วัดพระธรรมกายไม่เคยกระทำการใดๆ ที่มีผลทำให้เศรษฐกิจของประเทศเกิดภาวะล้มเหลว หรือทำให้ผลผลิตโดยรวมของประเทศตกต่ำ หรือทำให้รายได้ของประเทศขาดเสถียรภาพเลยสักครั้งเดียว
ในทางตรงกันข้าม!!! กิจกรรมหลายๆ กิจกรรมที่ทางวัดพระธรรมกายจัดขึ้น เช่น…กิจกรรมจัดบวช หรือกิจกรรมตักบาตร เป็นต้น กลับเป็นกิจกรรมที่มีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างรายได้ให้แก่คนในท้องถิ่นที่มีการจัดงาน ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจการโรงแรม , ร้านค้า , ร้านอาหาร รวมถึงเหล่าพ่อค้าแม่ขายข้างทาง ต่างก็ได้ประโยชน์จากกิจกรรมดังกล่าวกันถ้วนหน้า
เมื่อคนเหล่านี้มีรายได้ก็จะนำเงินไปจับจ่ายใช้สอยและนำไปเสียภาษีให้กับรัฐ รัฐก็นำเงินภาษีเหล่านี้ไปใช้พัฒนาและบริหารประเทศ ยกตัวอย่างเช่น…นำไปเป็นเงินเดือนให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกระดับชั้นตั้งแต่นายกไล่เรื่อยมา เป็นต้น เรียกได้ว่า…เงินแต่ละบาทแต่ละสตางค์ล้วนมีส่วนกลับไปหล่อเลี้ยงคนทุกระดับตั้งแต่ระดับนายกฯ จนกระทั่งรากหญ้า
หรืออย่างการก่อสร้างศาสนสถานของวัดพระธรรมกาย ก็มีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศด้วยเช่นกัน กล่าวคือ…เมื่อทางวัดจะก่อสร้างศาสนสถานเพื่อใช้ในงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาสักโครงการหนึ่ง ทางวัดก็ต้องไปจัดจ้างบริษัทออกแบบและบริษัทรับเหมาก่อสร้าง บริษัทออกแบบและบริษัทรับเหมาก็ต้องไปจ้างคนงาน พอทุกคนมีงานก็เลยมีเงินสำหรับใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคและมีเงินสำหรับไปจ่ายภาษีให้กับรัฐ สุดท้ายรัฐก็นำเงินภาษีเหล่านี้ไปใช้บริหารประเทศและทำประโยชน์ให้กับประชาชน ซึ่งวงจรเศรษฐกิจดังกล่าว!!! ล้วนส่งผลทำให้ประเทศชาติมีเงินหมุนเวียนและเกิดการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจภายในประเทศ เมื่อเศรษฐกิจภายในประเทศไม่หยุดชะงัก นักลงทุนต่างชาติก็เกิดความมั่นใจและกล้าที่จะนำเงินมาลงทุนกันมากขึ้น
และจากเหตุผลที่ได้กล่าวมาข้างต้น…จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ นโยบายหรือกิจกรรมของวัดพระธรรมกาย จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติทางด้านเศรษฐกิจ
ประเด็นที่สาม : ความมั่นคงทางด้านสังคม-จิตวิทยา
สำหรับประเด็นนี้!!! วัดพระธรรมกายขอยืนยันอย่างหนักแน่นว่า…ทุกนโยนบายและทุกกิจกรรมของทางวัด ไม่มีเรื่องใดเลยที่จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางด้านสังคม-จิตวิทยา เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา วัดพระธรรมกายเป็นองค์กรทางพระพุทธศาสนาที่ดำเนินงานทุกอย่างอยู่ภายใต้ “หลักของกฎหมาย , กฎมหาเถรสมาคม รวมถึงจารีตประเพณีอันดีงามที่ปู่ย่าตายาย และเหล่าบรรพชนได้ประพฤติสืบทอดต่อๆ กันมา” อย่างเคร่งครัด
ดังนั้น…ทุกนโยบายและทุกกิจกรรมของทางวัด จึงไม่มีทางที่จะส่งผลกระทบหรือทำให้เกิดการทำลายองค์คุณของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์อย่างแน่นอน
นอกจากนี้…ทุกนโยบายและทุกกิจกรรมของวัดพระธรรมกายยังมุ่งเน้นอบรมและฟื้นฟูศีลธรรมให้แก่คนในสังคมในทุกระดับชั้น อีกทั้งยังมีการจัดสอนสมาธิให้แก่ประชาชนทั้งภายในประเทศและต่างประเทศทั่วโลก ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ล้วนมีส่วนช่วยให้คนในสังคมมีคุณภาพชีวิตทั้งทางกายและทางใจที่ดีขึ้น ไม่ได้เป็นกิจกรรมที่ลดทอนคุณธรรม หรือทำให้คุณภาพชีวิต (ทั้งทางกายและทางใจ) ของคนในสังคมลดลง
และที่สำคัญทุกนโยบายและทุกกิจกรรมของวัดพระธรรมกาย ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบทางด้านลบต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา , ระเบียบวินัย , ความรับผิดชอบทั้งต่อตนเองและสังคม , สุขภาพ หรือด้านคุณธรรม เพราะทางวัดมุ่งเน้นจัดกิจกรรมที่เพิ่มพูนคุณธรรมในทุกๆ เรื่อง ให้กับคนในสังคม
ดังนั้น…จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่นโยบายหรือกิจกรรมของวัดพระธรรมกาย จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติทางด้านสังคม-จิตวิทยา
ถ้าถามว่ามีประเด็นอะไรบ้าง!!! ที่วัดพระธรรมกายถูกเชื่อมโยงว่า “เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ” จริงๆ ก็มีอยู่ไม่กี่เรื่องดังนี้
1.มีคนมาวัดพระธรรมกายเป็นจำนวนมาก
สำหรับประเด็นนี้!!! ถือเป็นการตั้งข้อสังเกตที่เกินกว่าเหตุและดูจะไร้ซึ่งเหตุผลไปสักหน่อย เพราะในความเป็นจริง!!! การจัดกิจกรรมรวมคนของวัดพระธรรมกายไม่ว่าจะหลักพัน หลักหมื่น หลักแสน (และกำลังจะไปสู่หลักล้านในอนาคต) ทุกกิจกรรมล้วนมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาควบคู่ไปกับการอบรมศีลธรรม และสอนสมาธิให้แก่สาธุชนที่มาแสวงบุญทั้งสิ้น
อีกทั้ง…คนที่มาร่วมกิจกรรมกับทางวัด ก็มาเพื่อมาศึกษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาละชั่ว ทำดี ทำจิตใจให้ผ่องใส ซึ่งคนเหล่านี้ก็มีทุกระดับชั้น ตั้งแต่เด็กอนุบาลไล่เรื่อยไปจนถึงระดับ “Professor” ดังนั้น…กิจกรรมรวมคนมาทำความดีที่วัดพระธรรมกายจัดขึ้น จึงไม่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติทั้งทางด้านการเมือง , เศรษฐกิจ รวมถึงสังคม-จิตวิทยาอย่างแน่นอน
ถ้ามองแบบ “ผู้มีสติปัญญาและมีจิตใจที่เที่ยงธรรม” ก็คงจะเห็นประโยชน์และเห็นแต่สิ่งดีๆ ที่เกิดจากกิจกรรมรวมคนมาทำความดีที่ทางวัดพระธรรมกายจัดขึ้นว่า… “มีส่วนช่วยทำให้ประเทศของเรามีบุคลากรที่ดี (ทั้งความรู้ดี ความสามารถดี ความประพฤติดี) และมีคุณภาพเพิ่มมากขึ้นด้วยซ้ำไป”
ซึ่งในจุดนี้!!! ถือว่ามีส่วนช่วยภาครัฐประหยัดงบประมาณแผ่นดินที่จะต้องนำเงินไปใช้ในการแก้ปัญหาและปราบปรามคนที่ประพฤติผิดศีลธรรมและผิดกฎหมาย และที่สำคัญ…เงินที่ใช้จัดกิจกรรมดังกล่าว ทางวัดไม่เคยเบิกงบประมาณของประเทศชาติมาใช้เลยแม้แต่บาทเดียว พูดได้เต็มปากว่า…ทั้งจัดงานเองและออกเงินเองล้วนๆ
เพราะฉะนั้น…กิจกรรมรวมคนมาทำความดีครั้งละมากๆ ที่ทางวัดพระธรรมกายจัดขึ้น จึงถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่มีส่วนช่วยแบ่งเบาภาระของภาครัฐและเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติเป็นอย่างยิ่ง ถ้าการที่วัดพระธรรมกายจัดกิจกรรมรวมคนมาทำความดีครั้งละมากๆ (อย่าง…กิจกรรมตักบาตรพระเพื่อช่วยเหลือพระที่อยู่ในเขตพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นต้น.) ถูกคนบางกลุ่ม (รวมถึงคนของหน่วยงานราชการ) มองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ แล้วสถานที่ที่เป็นแหล่งรวมให้คนมาทำบาปอกุศล (อย่างในผับ , ในบาร์ หรือในบ่อนการพนัน) มันไม่เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติมากกว่ารึ!!! เพราะสถานที่เหล่านี้ล้วนเป็นต้นตอและเป็นบ่อเกิดของปัญหาครอบครัวและปัญหาสังคมลำดับต้นๆ ดังนั้น…ถ้าใครคิดจะเป็นห่วงเรื่องความมั่นคงของชาติ จุดที่ควรเป็นห่วงและเป็นกังวลมากที่สุดคือ…แหล่งรวมที่ให้คนมาทำบาปอกุศล และเขตพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้โน่น!!! ไม่ใช่วัดพระธรรมกาย
อันที่จริง!!! เราควรดูวัตถุประสงค์ในการจัดกิจกรรมรวมคนของทางวัดว่า…ที่คนมารวมตัวกันเยอะๆ เขามารวมกันทำอะไร???
จากนั้นก็ใช้สติปัญญาพิจารณาหาคำตอบด้วยใจที่เที่ยงธรรมว่า… ที่เขารวมตัวกันมา!!! เขามารวมกันทำความดี ไม่ได้มาก่อความวุ่นวายให้ประเทศชาติบ้านเมืองใช่หรือไม่??? แล้วที่มีคนมารวมตัวกันเยอะๆ เขามารวมตัวกันเพื่อศึกษาธรรมะมา สั่งสมบุญกุศล ไม่ได้สร้างปัญหาให้สังคมหรือใครใช่หรือเปล่า???
ในจุดๆ นี้ คนที่ดูแลภาพรวมเรื่องความมั่นคงของชาติควรใช้ “สติปัญญาที่ประกอบด้วยใจที่เที่ยงธรรม” ในการพิจารณาเรื่องนี้ให้มากๆ (ที่แนะนำไปแบบนี้!!! ก็เพราะเชื่อในสติปัญญา ความรู้ความสามารถ และคุณธรรมของคนที่ทำหน้าที่นี้ว่าต้องไม่ธรรมดา ไม่เช่นนั้นจะมาทำหน้าที่สำคัญแบบนี้ได้อย่างไร!!! แต่ถ้ามีสติปัญญาและมีคุณสมบัติเพรียบพร้อมขนาดนี้แล้วไม่นำสติปัญญาและคุณสมบัติที่มีอยู่มาใช้ หรือใช้เพียงเล็กน้อยไม่กี่เปอร์เซ็นต์ ก็อาจจะทำให้เวลาตัดสินอะไรอาจเกิดความผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงได้ อุปมาเหมือนคนที่สายตาดี…แต่ดันชอบหรี่ตาดู เวลามองดูอะไรก็เลยทำให้เห็นไม่ชัด เช่น…เห็นเครื่องบินกลายเป็นนก เห็นมดกลายเป็นปลวก…แบบนี้เป็นต้น) เพราะฉะนั้น…จากเหตุผลที่ได้อธิบายมาทั้งหมด จึงมองไม่ออกว่ากิจกรรมรวมคนมาทำความดีที่ทางวัดพระธรรมกายจัดขึ้น จะกลายเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติไปได้อย่างไร
2.คำสอนของวัดพระธรรมกาย
อันที่จริงเรื่องนี้ไม่น่าจะถูกเชื่อมโยงว่า “เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ” ได้เลย แต่สุดท้ายก็ถูกโยงเข้าจนได้ ถ้าหากใครได้ศึกษาแนวคำสอนของวัดพระธรรมกายอย่างถ่องแท้ จะพบว่าคำสอนของวัดพระธรรมกายล้วนอ้างอิงตามพระไตรปิฎกทั้งสิ้น จะมีเพียงแค่บางส่วนเท่านั้นที่เป็นเรื่องราวที่ไม่มีการบันทึกในพระไตรปิฎก เพราะเป็นเรื่องราวจากคำบอกเล่าของเหล่าผู้มีรู้มีญาณ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องอจินไตยที่ต้องอาศัยการปฏิบัติถึงจะเข้าใจเนื้อหาในส่วนนี้
และจากการวิเคราะห์ประเด็นที่มีคนบางกลุ่ม (โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีอคติกับวัดพระธรรมกายแบบสุดขั้ว) พยายามจุดประเด็นให้คนในสังคมเข้าใจแนวคำสอนของวัดพระธรรมกายในแบบผิดๆ พบว่า…ในหลายๆ ครั้งคนกลุ่มนี้จะเลือกเอาคำสอนที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องอจินไตย (เพราะเป็นเรื่องที่ไม่มีบันทึกในตำราและง่ายแก่การโจมตี) แล้วใช้วิธีการ “ตัดตอนคำ & ตัดตอนคลิป” (ที่ตัวเองเห็นว่าพอจะนำมาตีประเด็นให้คนเข้าใจผิด) มานำเสนอแค่บางช่วง (ไม่ได้ยกเนื้อหาที่แสดงถึงที่มาที่ไปของคำสอนมาแสดงทั้งหมด)
จากนั้นคนกลุ่มนี้ก็จะนำคำสอนและคลิปที่ถูกตัดตอน มาตีความจนไม่ได้ความ!!! (คือ…ใส่ความเห็นที่เจืออคติส่วนตัวพร้อมกับตีประเด็นชี้นำสังคม) ในทำนองที่ว่า… “คำสอนเหล่านี้ไม่ใช่คำสอนในพระพุทธศาสนา เพราะไม่มีบันทึกในพระไตรปิฎก เป็นการบัญญัติคำสอนขึ้นมาใหม่ หรือเป็นสัทธรรมปฏิรูป” เป็นต้น.
เมื่อคนในสังคมโดยเฉพาะคนที่ไม่เคยเข้าวัดพระธรรมกาย ได้ฟังการตีประเด็นเรื่องคำสอนที่ถูกตัดตอนจากคนกลุ่มนี้แบบตอกย้ำซ้ำๆ หลายๆ คนจึงคล้อยตามและเชื่อว่าวัดพระธรรมกายสอนผิดจริงๆ
แต่สำหรับคนที่เข้าวัดเป็นประจำ!!! จะคุ้นเคยและเข้าใจในคำสอนของทางวัดเป็นอย่างดีว่า… “ทุกคำสอนที่ทางวัดนำมาเผยแพร่ ล้วนตรงตามแนวทางที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้วางเอาไว้” เพียงแต่บางเรื่อง (โดยเฉพาะเรื่องราวที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องอจินไตย) บางครั้งก็จะลงรายละเอียดให้ทราบถึงที่มาที่ไปแบบครบถ้วนกระบวนความ (ตรงนี้คนที่เข้าวัดมาอย่างต่อเนื่องจะเข้าใจดี) แต่บางครั้งเมื่อนำมากล่าวซ้ำ กอปรกับด้วยเวลาหรือโอกาสไม่อำนวยให้ลงรายละเอียด ก็จะละบางช่วงบางตอนเอาไว้ในฐานที่เข้าใจ ซึ่งตรงจุดนี้แหละ!!! ที่เป็นจุดให้คนที่มีอคติกับวัดพระธรรมกายนำข้อมูลไปใช้ตัดตอนคำ & ตัดตอนคลิป เพื่อนำมาโจมตีว่าวัดพระธรรมกายสอนผิดเพี้ยน
และจากที่ได้อรรถาธิบายมาทั้งหมด ข้อกล่าวหา (จากกลุ่มคนที่มีอคติกับวัดพระธรรมกาย) ที่ว่า… “วัดพระธรรมกายเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ” จึงเป็นเพียงการยัดเยียด “ข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงและเลื่อนลอย” เพราะถ้าเป็นเรื่องจริงตามที่มีคนกล่าวหา วัดพระธรรมกายคงไม่สามารถเจริญเติบโตและยืนหยัดอยู่มาได้ยาวนานถึงขนาดนี้ ถ้านับเวลาตั้งแต่เริ่มสร้างวัดจนถึงปัจจุบันก็เกือบครึ่งศตวรรษเข้าไปแล้ว
และที่สำคัญ…กลุ่มคนที่สร้างประเด็นนี้ขึ้นมา มีเจตนาก็เพียงเพื่อชี้นำและปลุกปั่นให้คนในสังคม (โดยเฉพาะคนที่ไม่รู้ข้อมูลที่แท้จริง) รู้สึกตื่นตระหนก เกิดความหวาดระแวงเคลือบแคลงสงสัย และสร้างกระแสให้คนในสังคมรู้สึกเกลียดชังวัดพระธรรมกายเท่านั้น ดังนั้น…ข้อกล่าวหาที่ว่า “วัดพระธรรมกายเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ” จึงไม่ใช่เรื่องจริง!!! และไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน
สุดท้ายอยากจะขอบคุณทุกท่านที่เสียสละเวลาอ่านมาจนถึงย่อหน้าสุดท้ายนี้ และขอฝากถึงทุกท่านว่า… “การจะรับข้อมูลอะไรก็ตามในโลกโซเชียล โปรดใช้สติหยุดคิด!!! และใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองข้อมูลต่างๆ ให้ดี โปรดอย่าฟังความข้างเดียวหรือเชื่อตามกระแสที่มีคนบางกลุ่มพยายามสร้างขึ้นมา ไม่เช่นนั้น!!! ท่านอาจจะตกเป็นเหยื่อหรือเครื่องมือของคนบางกลุ่มที่มีเจตนาไม่ดีแอบแฝงได้”