สตีฟ จอบส์ ตายแล้วไปไหน!!!

คำถาม : สตีฟ จอบส์ ตายแล้วไปไหน!!! หลวงพ่อธัมมชโยรู้ได้อย่างไรว่าไปสวรรค์ แบบนี้ถือว่าอวดอุตริฯ หรือเปล่า?
คำตอบ : เรื่องตายแล้วไปไหน!!! อันที่จริงเป็นเรื่องที่ไม่เหลือวิสัยของเหล่าผู้มีรู้มีญาณที่ทรงอภิญญา หรือผู้ที่บรรลุวิชชา 3 ที่สามารถกำหนดรู้ในการจุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลายอันเป็นไปตามกรรมด้วยการใช้ “จุตูปปาตญาณ”
ซึ่งจากประวัติและเรื่องราวที่มีบันทึกของพระสายกรรมฐาน , พระวิปัสสนาจารย์ หรือบรรดาพระเกจิผู้มีรู้มีญาณชื่อดังในยุคปัจจุบัน หลายๆ รูปท่านก็สามารถระลึกชาติและล่วงรู้การไปเกิดมาเกิดของสัตว์ทั้งหลายได้ (ยกตัวอย่างเช่น หลวงปู่ชอบ , หลวงปู่บุดดา เป็นต้น) หรือแม้แต่ในพระไตรปิฎก ก็ได้มีการกล่าวถึงเรื่องเหล่านี้อยู่อย่างมากมายเช่นกัน
ยกตัวอย่างเช่น…นางวิสาขา ละสังขารจากโลกมนุษย์แล้วไปเกิดเป็นมเหสีของผู้ปกครองสวรรค์ชั้นนิมมานรดี (พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ เล่มที่ 26 ขุททกนิกาย วิมาน-เปตวัตถุ-เถร-เถรีคาถา) หรือโตเทยยพราหมณ์ ตายแล้วไปเกิดเป็นสุนัขในบ้านตนเอง (พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ เล่มที่ 13 มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์) เป็นต้น.
เพียงแต่เรื่องราวเหล่านี้ อาจเป็นเรื่องเหลือวิสัยของปุถุชนคนธรรมดาทั่วไปที่จะตรองตามด้วยการฟังและการอ่านให้เข้าใจได้ เพราะสิ่งเหล่านี้จะต้องอาศัยการลงมือปฏิบัติเท่านั้นจึงจะรู้แจ้งเห็นจริงว่า…มันสามารถทำได้จริงและมีจริงๆ ขอเพียงแค่เราปฏิบัติจริงๆ และปฏิบัติอย่างถูกวิธี เราก็สามารถไปรู้ไปเห็นเรื่องราวเหล่านี้ด้วยตัวของเราเองได้
เพราะฉะนั้น…การที่หลวงพ่อธัมมชโยนำเรื่องราวในปรโลกของสตีฟ จอบส์มาเล่าจนกลายเป็นประเด็นสังคมอยู่ในขณะนี้ ตราบใดที่เรายังเป็นปุถุชนคนธรรมดาที่ไม่เคยคิดที่จะพิสูจน์ด้วยการลงมือปฏิบัติให้รู้แจ้งเห็นจริงด้วยตัวของเราเอง ก็คงยากที่จะเข้าใจ แล้วก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีคนที่เชื่อและไม่เชื่อในสิ่งที่ท่านนำมาเล่า
ส่วนว่าเรื่องราวที่ท่านนำมาเล่าอย่างกรณีของสตีฟ จ็อบส์เข้าข่ายการอวดอุตริมนุสธรรมหรือไม่นั้น!!! ขอตอบแบบเคลียร์ๆ ณ.ที่นี้ว่า…ไม่เข้าข่ายการอวดอุตริมนุสธรรม!!! เพราะทุกครั้งก่อนที่ท่านจะเล่าเรื่อง ท่านจะย้ำว่า…“หลับตา ฝันเป็นตุเป็นตะ ตื่นขึ้นมาหาวหนึ่งที แล้วนำมาเล่าให้ฟังเป็นนิยายปรัมปรา… ให้พอเป็นความรู้ติดแข้งติดขา ถ้าจะไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร”
หรือในบางครั้งท่านก็จะกล่าวเพิ่มเติมในทำนองที่ว่า… “เรื่องที่นำมาเล่าเป็นเรื่องราวที่ฟังเขามาอีกที ก็ให้ฟังเป็นนิยายปรัมปรา เพื่อจะได้เข้าใจเรื่องกฎแห่งกรรม” ไม่เคยมีสักครั้งที่ท่านจะกล่าวอ้างตัวเองว่า…ท่านนั่งสมาธิไปดูด้วยตัวเอง หรือใช้ญาณทัสสนะของท่านไประลึกชาติ เพื่อดูเรื่องราวในอดีตหรือดูการไปเกิดมาเกิดของใคร เพราะฉะนั้น…การเล่าเรื่องในลักษณะนี้ จึงไม่ใช่การอวดอุตริมนุสธรรม และที่สำคัญ…เจตนาตั้งต้นที่ท่านนำเรื่องราวมาเล่าให้ฟังในลักษณะนี้ ก็เพื่อมุ่งเน้นสอนคนให้รู้เรื่องกฏแห่งกรรม ไม่ได้มีเจตนายกตนให้คนเชื่อว่าท่านมีคุณวิเศษแต่อย่างใด
ส่วนว่า…ฟังแล้วใครจะคิดกับท่านอย่างไร!!! จะเชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องราวที่ท่านนำมาเล่า อันนี้ก็สุดแล้วแต่ความคิดของแต่ละคน ซึ่งเราคงไม่สามารถไปห้ามความคิดของใครได้ เพราะหลวงพ่อท่านก็เน้นย้ำอยู่ทุกครั้งก่อนที่จะเทศน์สอนผ่าน DMC ว่า…ที่นี่เป็นโรงเรียนอนุบาล (ฝันในฝันวิทยา) เนื้อหาธรรมะที่นำมาเทศน์สอนก็อยู่ในระดับอนุบาลซึ่งพอจะเป็นแนวทางสำหรับคนที่สนใจอยากจะรู้เรื่องราวของกฎแห่งกรรม
แต่ถ้าใครอยากจะฟังอะไรที่ลึกซึ้งมากไปกว่านี้ ก็ต้องไปฟังจากพระผู้มีรู้มีญาณที่ทรงอภิญญาซึ่งนั่นถือเป็นความรู้ระดับดอกเตอร์ ส่วนของท่านนั้นยังไม่ถึงขั้นระดับประถม มัธยม หรืออุดมศึกษาเป็นเพียงแค่ความรู้ระดับชั้นอนุบาลเท่านั้น แต่ถ้าใครยังสงสัยและอยากจะพิสูจน์ว่าเรื่องราวดังกล่าวมันเป็นจริงอย่างที่ท่านเล่าหรือไม่!!! จะชัวร์หรือมั่วนิ่ม ก็ต้อง “เอหิปัสสิโก” หรือมาพิสูจน์ด้วยการปฏิบัติด้วยตัวของคุณเองว่ามันจริงไหม!!! ถ้ามัวแต่มาตั้งป้อมตั้งประเด็นและถกเถียงกันผ่านตัวหนังสือแต่ไม่คิดจะลงมือปฏิบัติ ถกไปก็ไม่เกิดประโยชน์